|
จุดจบของโลก จุดจบของสังคมที่คุณเจอแน่ ๆ โดย...อ. ไมตรี ทรัพย์เอนกสันติ มีการถกเถียงอย่างมากและเป็นวงกว้างว่า โลกจะถึงจุดจบอย่างไร เมื่อไร มีทั้งทำนายของน็อตสตาดามุส (ที่มีการตีความกันหลากแง่มุมมอง เพราะคำทำนายเองไม่ได้ระบุฟันธงตรงๆ หากแต่พูดเป็นรหัสนัยเท่านั้น) คำทำนายของฝั่งคริสตจักร ฝั่งพุทธศาสน์หรือแม้แต่ฝั่งอิสลาม คำคาดการณ์เชิงวิชาการของเหล่านักวิทยาศาสตร์ เช่นอุกาบาตรชนโลก,โรคระบาด ฯลฯ มีหนังสือหลายเล่ม (ร่วม 10 เล่ม) ที่พูดถึงอนาคตและวันสิ้นโลกจากแต่เดิมว่าปี ค.ศ. 2000 แล้วก็ไล่มาเรื่อยๆจนท้ายสุดพูดถึงหลังปี ค.ศ. 2012 คำทำนายของเกจิอาจารย์สงฆ์พระป่าก็มีหลายท่าน เพราะความที่สิ่งเหล่านี้เป็น “คำทำนาย” หรือ การคาดการณ์ ยิ่งอ่านยิ่งเกิดคำถามว่า แล้วต้นตอหรือสาเหตุนั้นๆที่พูดถึงอ้างถึงเกิดจากอะไร ซึ่งทำให้คำพยากรณ์ดูเลื่อนลอย จนบางคนหัวเราะเยาะว่าไร้สาระหรือไม่น่าเป็นไปได้ ไม่มีเหตุผล จนถึงอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด (พูดอย่างคนปลงตก) นั่นคือเรื่องของอนาคตที่บางคนอาจมองว่ายังห่างไกล โอเค ถ้าอย่างนั้นเรามาดูว่ามีสาเหตุแห่งปัจจุบันอะไรบ้างที่จะนำไปสู่ภัยพิบัติจุดจบของโลกและสังคมบ้าง โรคแพ้คลื่นวิทยุ ปัจจุบันมนุษย์,สังคม แขวนชีวิตไว้กับการสื่อสาร,ควบคุมแบบไร้สาย (Wireless) แทบทั้งสิ้น รอบๆตัวเรามีแต่การสื่อสาร,เฝ้ามองควบคุมด้วยระบบไร้สายนานัปการ ที่เห็นชัดที่สุดก็คือ การใช้โทรศัพท์มือถือ ชีวิตคนกรุงจมปลักอยู่ในทะเลแห่งคลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) สารพัดความถี่ สารพัดรูปแบบ,รูปคลื่น ทั้งเครือข่ายมือถือ (cell site) นับพันๆทั่วกรุงและตามถนนหนทาง,ระบบเชื่อมต่อภายในอาคารผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย (WiFi)และแบบนอกอาคาร (WiMAX),คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและแบบพกพา (Note Book),เครื่องประมวลผลดิจิตอลพกพา (PDA),สถานีวิทยุทั้งสถานีหลักและสถานีชุมชนนับพัน,สถานีโทรทัศน์นับสิบ,เคเบิ้ลทีวี(ทั้งสายและผ่านดาวเทียม),โทรศัพท์มือถือและบลูทูช (Bluetooth),รีโมทไร้สาย (แบบ RF) เสาส่งคลื่นมือถือบนตึก (cell site)เป็นพันทั่วกรุง เป็นหมื่นทั่วประเทศ คลื่นความถี่สูงเหล่านี้ล้วนมีผลทำร้ายร่างกายมนุษย์ (และสัตว์กับพืช?) ลองเข้าเว็บไซด์กูเกิ้ลระบุหัวข้อ cell phone dangerous จะขึ้นบทความอื้อที่พูดถึงอันตรายมือถือ ที่สวีเดน ปัจจุบันมีผู้ป่วยด้วยโรคชักและหายใจไม่ออกจากคลื่นความถี่สูงกว่าสองแสนรายแล้ว พวกเขาต้องหนีห่าง หลีกเร้นตัวห่างไกลจากคลื่นวิทยุความถี่สูงทุกชนิดซึ่งสร้างความลำบากแสนสาหัสแก่พวกเขาและครอบครัวขนาดไหน หัวหน้าโครงการวิจัยมือถือของ บริษัทอีริคสันซึ่งเป็นปรมาจารย์ด้านนี้ ปัจจุบันต้องระเห็จเนรเทศตัวเองไปอยู่ในป่า อยู่ในกระท่อมแบบมนุษย์เมื่อ 100 ปีที่แล้ว ตัดขาดจากไฟฟ้าทั้งปวง (ลูกทีมอีก 7 คนก็เป็นเหมือนกันแต่ยังอ่อนกว่าหน่อย) (ข้อมูลจากนิตยสาร POPULAR SCIENCE) คุณหมอ ดร. ทางระบาดวิทยาของสวีเดนเช่นกัน ก็ได้เปิดเผยถึงความกังวลอย่างยิ่งว่า อย่างเร็วไม่เกิน 3 ปีโลกจะมีปัญหาจากโรคแพ้คลื่นวิทยุอย่างยิ่ง สังคมจะปั่นป่วนหมด (หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เดือนตุลาคม 2553 ) ค่ายมือถือไม่ว่าผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการเครือข่าย พยายามปิดบังและปฏิเสธอ้างการทดลองโน่นนี่ว่าไม่มีผลหรือสรุปไม่ได้ เพื่อรักษาผลประโยชน์อันมหาศาลของตน แต่ในความเป็นจริงก็คือ คลื่นโทรศัพท์มือถืออาจไม่มีผลโดยตรงต่อร่างกาย แต่มันมีผลทางอ้อมโดยบั่นทอนทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย จนทำให้ร่างกายอ่อนแอต่อสารพัดโรคและเจ็บป่วยด้วยสารพัดโรคนี้โดยเฉพาะรวมทั้งมะเร็ง คลื่นมือถือ (ทุกคลื่นความถี่สูง) ทำลายเซลล์สมองหรือการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์สมอง ของสมองส่วนเหตุและผล (LOGIC) ซึ่งควบคุมพฤติกรรมทำให้มนุษย์มีเหตุผลรู้ชั่วดี ถ้าสมองส่วนนี้ถูกบั่นทอน มนุษย์ก็ไม่ต่างจากสัตว์จะมี พฤติกรรม ที่ถูกสั่งงานด้วยสมองอีกซีกหนึ่งแบบสัญชาติญาณแบบสัตว์ เห็นแก่ตัว เอาตัวรอด ไม่สนใจใครจะเป็นอย่างไร สังเกตว่าปัจจุบัน เด็กรุ่นใหม่ เด็กวัยรุ่น หนุ่มสาว จะคิดแบบเหตุผลไม่เป็น ซื่อบื้อ ทุจริต โกง ปล้นจี้ เฮฮา แบบไร้สติ โกงอย่างโง่ๆ เอาแต่ใจตัวเอง ใครขัดไม่ได้ เอาตัวรอดอย่างเดียว กินขี้ปี้นอน คิดแค่นี้ นี่คือหายนะของสังคมในแง่ศีลธรรม หนักๆเข้าพวกนี้ก็ไม่ต่างจากซอมบี้ (มนุษย์ผีดิบไร้ความคิด) ตรงกับคำทำนายของเกจิอาจารย์หลายท่านต่อวันสิ้นโลก ย้อนกลับมาในแง่ความเจ็บป่วยจากคลื่น อาการป่วยจากคลื่นสาหัสมาก ขนาดว่าลงไปชักดิ้นชักงอ (อย่างเจ็บปวด ช่วยตัวเองไม่ได้) พร้อมกับหายใจไม่ออก แน่นอน มันน่าสยดสยองไม่น้อย ถ้าไม่หนักหนา พวกเขาคงไม่ยอมเนรเทศตัวเองไปอยู่ตามป่าเขาให้ห่างไกลจากสารพัดคลื่น การแพ้คลื่นวิทยุความถี่สูง (Radio Frequency หรือ RF ) จะประหลาดคือ ใหม่ๆเราจะรู้สึกว่าคลื่นแรงอย่างไรก็ทนได้คือ อึด แต่เมื่อถูกบ่มด้วยคลื่นไปนานๆถึงขีดที่ออกอาการแล้วหนีห่างคลื่น สักพัก (เป็นอาทิตย์) กลับมาถูกบ่มใหม่จะพบว่า แค่ 5 – 10 นาทีก็ออกอาการแล้ว จากที่เมื่อก่อนเป็นวันเป็นเดือนกว่าจะไม่ไหว ตัวอย่าง เพื่อนคนหนึ่ง อยู่กับจอคอมพ์ทำอาร์ตเวิร์คแทบไม่หลับไม่นอน 4 วัน 4 คืนก็ยังเฉย ทำแบบนี้บ่อยๆ ปีหนึ่งผ่านไป อาการออก แค่ครึ่งชั่วโมง ตาลาย ปวดตา ปวดหัว จะอาเจียน ต้องเลิกใช้คอมพ์ ทุกวันนี้เขาใช้น้อยลงมาก ผมเคยใช้โทรศัพท์มือถือของอีริคสัน (สีเหลือง ดังจากหนังเจมส์บอนด์) ใหม่ๆก็ทนได้ ใช้เป็นวันๆเป็นเดือนเฉย แต่แล้ว วันดีคืนดี แค่ 3 นาทีก็ปวดหู ศีรษะตื้อ แล้วก็โทรได้ไม่นาน 10 นาทีก็แย่แล้ว ต้องหยุดเป็นอาทิตย์ ก่อนหน้านี้ผมใช้โทรศัพท์มือถือ บลาวพังก์ของเยอรมัน (สมัยระบบอนาล็อก) เป็นเครื่องแรกของผม พิเศษคือเครื่องรุ่นนี้กดปุ่มเร่งกำลังส่ง-รับได้ 2 เท่า (จาก 300 mW เป็น 600 mW ) เอาไว้ฉุกเฉิน โทรไม่ติด (สมัยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เสา cell site ไม่มากแพร่หลาย คลื่นอนาล็อกก็ทะลุทะลวงไม่เก่งอย่างคลื่นดิจิตอลปัจจุบัน ปรากฏว่า แค่ 5 วินาทีผมรู้สึก พะอืดพะอม จะอาเจียนต้องเลิกโทร เป็นอยู่เกือบชั่วโมงกว่าจะหาย ภรรยาผมปกติก็ต้องใช้คอมพ์พอควร (ที่ทำงาน) แถมบ่อยๆกลับมาทำต่อที่บ้าน (ใช้คอมพ์ โน้ตบุ๊ก) ก็ไม่ได้บ่นอะไร แต่ตอนนี้แค่นั่งจ้องโน้ตบุ๊กไม่ถึง 10 นาทีบอกเวียนหัวแล้ว ผมมีอาชีพทดสอบวิจารณ์เครื่องเสียง เมื่อไรที่พกมือถือเข้าห้องเสียง ความเป็นดนตรี การสอดใส่อารมณ์ของนักร้อง นักดนตรีจะลดลงทันที แม้ไม่ได้โทรมือถือ ใครใช้โทรศัพท์บ้านอยู่ พอมีมือถือดังขึ้นจะส่งเสียงติ๊กตั๊กๆกวนโทรศัพท์บ้านทันที นี่แค่ตัวอย่าง แล้วยังจะบอกว่า มือถือไม่มีอันตราย การเล่นกลของค่ายมือถือและผู้ผลิต ข้ออ้างของพวกเขาที่ว่า มือถือไม่มีอันตราย เวลาพวกเขาทดสอบ เขาคงทดสอบกันในห้องปิดผนึกกันสนามแม่เหล็ก แล้วทดสอบปฏิกิริยาของร่างกายต่อคลื่นมือถือ โอเค มันอาจไม่แสดงผล ก็อย่างที่กล่าว ผลอันตรายมันเป็นทางอ้อม กล่าวคือ คลื่นมือถือเป็นตัว “เหนี่ยวนำ” คลื่น RF สารพัดในบรรยากาศรอบๆตัวเราให้มันระดมขย่มตัวเราจนเป๋ ลดภูมิคุ้ม กันของร่างกายลง เปิดโอกาสให้สารพัดโรคร้ายเข้ามารุมเรา รวมทั้งป่วนการสั่งงานของสมองต่ออวัยวะต่างๆจนรวนไปหมด (ชัก,หายใจไม่ออก) การทดสอบและผล ต้องกระทำภายใต้สภาพแวดล้อมปกติ มิใช่ภายในห้องปิดผนึกกันสนาม แม่ เหล็กอย่างนั้น แล้วโรคมือถือจะก่อหายนะแก่โลกอย่างไร ลองหลับตาว่า ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือกว่าพันล้านคนแล้ว ไม่รวมเครื่องพกพาดิจิตอลอื่นๆ แค่ครึ่งหนึ่งของคนจำนวนนี้เป็นโรคแพ้มือถือพร้อมๆกัน 500 ล้านคน เราจะเอาพวกเขาไปไว้ในหลุมหลบภัยที่ไหนได้ คน 500 ล้านที่อนาคตดับวูบ ต้องเนรเทศตัวเองไปอยู่ป่าลึก ใช้ชีวิตแบบมนุษย์ถ้ำ คิดว่า “พวกเขา” จะยอมไหม พวกเขาจะไม่ก่อม๊อบขอความเป็นธรรม ขอให้คนอื่นๆที่ปกติอยู่ทำอะไรสักอย่างหรือหลายอย่างเพื่อหยุด,ยกเลิกการใช้สารพัดคลื่นวิทยุหรือแม้แต่คลื่นไฟฟ้าความถี่ต่ำจากสายไฟฟ้าก็ยังมีผลกระทบต่อพวกเขา คลื่นจากระบบอีเล็กโทรนิกส์,ไฟรถยนต์ก็ยังรบกวนพวกเขา ผมเชื่อว่า อาจมีบางคนยังงอมืองอตีนยอมรับชะตากรรมเมื่อตัวเองเป็นโรคมือถือ แต่ไม่ใช่ทั้ง 500 ล้านคนแน่ๆ เป็น 500 ล้านคนจากทุกๆประเทศที่มีการใช้มือถือ เฉลี่ยแค่ประเทศละ 10 ล้านคน มันก็สาหัสวุ่นวาย โกลาหลไปทั่วโลกแล้ว ( 50 ประเทศ) ถามว่า แล้วสังคมจะอยู่กันอย่างไร ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันกลับมา จะไม่ใช่โลกอย่างที่พวกเราคุ้นเคยอีกต่อไป หรือจะบานปลายเป็นสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์ มนุษย์ปกติกับมนุษย์ป่วย ผมเชื่อว่าจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคมือถือจะพุ่งสูงขึ้นๆอย่างฮวบฮาบ ก้าวกระโดดแบบกราฟ EXPONENTIAL เริ่มต้นทุกอย่างอาจดูสงบแต่เมื่อมันระเบิดขึ้นมามันจะกระจายเป็นวงกว้างและเพิ่มจำนวนผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว,ฉับไว,ทวีคูณ ดุจการแตกตัวของเชื้อโรค อย่าลืมว่าทั่วโลกมีคนใช้มือถือกันประจำอยู่กว่าพันล้านคน ทุกคนเหมือนเป็นแผลและรอวันประทุเท่านั้น เป็นแน่ๆ “ทุกคน” ถ้ายังไม่ละ,ลด,เลิกการใช้มือถือทันทีในวันนี้ ท้ายที่สุดทั้งพันกว่าล้านคนทั่วโลก (1 ใน 6 ของประชากรโลก) จะเป็นผู้ป่วยหมด และจะมีผลต่อปัญหาทางสังคมอย่างรุนแรงยิ่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ สมมุติถึงแม้ว่าพวกเขาไม่กล้าหือขึ้นมาและยอมรับชะตากรรมโดยดี โลกจะเอาคนพันกว่าล้านคนไปซุกที่ไหนที่จะปลอดภัยต่อพวกเขา โลกส่วนที่เหลือจะยังคงหลงระเริงกับมือถือหรือต้องหยุดคลื่นทุกอย่างและหาเทคโนโลยี่อื่นมาแทน (ถ้ามี) อย่างนี้ไม่เรียกว่าโลกแตกจะให้เรียกว่าอะไร ไม่ต้องรอให้อุกาบาตรวิ่งมาชนโลกหรือโลกร้อนจนน้ำท่วมโลกหรืออะไรอื่นใด แค่เรื่องมือถือก็แทบเป็นจุดจบของมนุษยชาติและอารยะธรรมแล้ว ทางออก (ถ้าจะพอมี) ใครเคยทดลองกับแม่เหล็กจะทราบว่า เมื่อเรานำแท่งเหล็กมาวางใกล้กับแท่งแม่เหล็กหรือถูกับแท่งแม่เหล็ก สักพัก แท่งเหล็กนั้นก็จะถูก “เหนี่ยวนำ” จนเป็นแม่เหล็กเช่นกัน ถ้าจะคืนความเป็นเหล็กเฉยๆกลับมาต้องนำแท่งเหล็กนั้นไปเผาให้ร้อนหรือตีแรงๆเพื่อล้างความเป็นแม่เหล็กนั้น (เรียก DEGAUSE) คืนกลับมาเป็นเหล็กบริสุทธิ์ดังเดิม ตัวมนุษย์ก็น่าจะเป็นทำนองเดียวกันเราอาจต้องหาวิธี “ล้าง” คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ตกตะกอนอยู่ในตัวมนุษย์ที่ถูกบอมบ์ด้วยสารพัดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเช่นกัน เพื่อมิให้เกิดการอิ่มตัวจนแสดงออกเป็นอาการป่วยดังกล่าวแล้วเราจะ DEGAUSE มนุษย์ได้อย่างไร ในเรื่องของเสียงเราพบว่า ถ้าหูอ่อนล้ากับเสียงสูงเสียงต่ำที่มาก,น้อยเกินไป จนการฟัง เพี้ยน ให้หยุดและสลับไปฟังเสียงคลื่นทดสอบที่ประกอบด้วยพลังงานเสียง “ทุกความถี่” ที่แรงพอๆกันหมด (PINK NOISE) สักพักเราจะพบว่าหูเหมือน ได้ล้างพิษ เมื่อกลับไปฟังเสียงสูง,ต่ำเดิมจะฟังได้สดชื่นขึ้น ไม่อ่อนล้าและทนฟังได้อีกนาน คลื่นความถี่สูง (RF) ก็น่าจะทำนองเดียวกัน ถ้าให้ร่างกายถูกแผ่ด้วยคลื่นความถี่สูงที่มีพลังเสมอกันทุกความถี่แบบ PINK NOISE เป็นไปได้ไหมทีมันจะช่วย “ล้างพิษ” สนามแม่เหล็กในตัวเราได้เช่นกันและดึงการทำงานของเซลล์ประสาท เส้นประสาทกลับมาให้เสถียรเหมือนเดิมและอึดเหมือนเดิม (คงต้องมีการล้างพิษเป็นพักๆ) ก็ขอฝากให้นักวิจัยลองนำความคิดนี้ไปต่อยอดดูว่าจะได้ผลจริงเท็จแค่ไหน ก่อนที่สายเกินไป ใครคิดได้ก็คือการช่วยกู้โลกดีๆนี่เอง (เอาโนเบิลไพรส์ไปเลย) อีกอย่างที่อยากฝากไว้ ถ้าคลื่นขยะ RF เหล่านี้มีผลต่อมนุษย์ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่มีผลต่อสัตว์ (บก,น้ำ,ฟ้า) ต่อพืช (และต่อเชื้อโรค?) แต่ที่แน่ๆจากแผ่น VCD ในงานสัมนาเรื่องชีวิตหลังความตาย (ค่าย ASTV) ดร. บัญจบ รุจิ เล่าว่าที่อังกฤษมีทัวร์ไปดูผีตามปราสาทผีสิง ซึ่งธุรกิจก็ไปได้ด้วยดีตลอด เพิ่งไม่นานที่ต้องหยุดเพราะผีไม่ยอมมาปรากฏตัว พอสืบสาวความจึงทราบว่า พวกผีถูกคลื่นมือถือรบกวนทำร้ายพวกเขา จึงหนีไปหมด มันน่าคิดตรงที่ขนาดผี (และแน่นอนคงต้องรวมเทวดาด้วย) ยังทนคลื่นมือถือไม่ได้ แล้วคิดกันบ้างไหมว่าพวกผีและเทวดาจะไม่มา “เอาคืน” กับการที่มนุษย์ไปไล่,รบกวนพวกเขา (ตอนนี้ได้ข่าวจากผู้มีพลังจิตเล่าให้ฟังว่า มีการระดมพญานาคจากใต้พิภพจำนวนมหาศาลทั่วโลกให้ขึ้นมาพ่นพิษใส่มนุษย์ เขายังแปรรหัสไม่ออกว่าเพราะเหตุไร) ปัจจุบันเราจึงพบว่าทั่วโลกมีการเป็นโรคกันแปลกๆซึ่งอดีตไม่เคยมี ในความคิดผมเป็นไปได้ว่าพิษพญานาคนั้นจะทำให้ภูมิคุ้มกันของมนุษย์ยิ่งลดลงเร็วและมากขึ้นเพื่อ “หยุด” การใช้และพัฒนาคลื่นความถี่สูงของมนุษย์อีกแรงหนึ่ง (เรื่องของพญานาคผมได้มีโอกาสคุยกับท่านผู้หนึ่ง (เป็น อบต) ที่เคยเผชิญกับพญานาคขนาดใหญ่ ที่โผล่จากใต้ดินขึ้นมาอยู่ต่อหน้าเขา ตาแดงก่ำ คนอื่นๆก็เห็นและวิ่งหนีไปหมด สักพักพญานาคก็มุดลงดินไป เขาถามพระแถวนั้น พระบอกข้างใต้เป็นเมืองพญานาคในอดีต) www.maitreeav.com |